วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอก ท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลก ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือ เดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลา กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใด ๆ ของเรือ หรือ เครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่
เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทาง เป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและ แจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใด ๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบิน มีเวลา พอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติ มายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุน ปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้ง ๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้
มีผู้ให้ความคิดเห็นและคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป บ้างก ็ว่าเนื่องมา จากความปั่นป่วน ของท้องน้ำ ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด จากแผ่นดินไหว ใต้มหาสมุทร หรือเกิดจากอุกาบาตเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น ได้พุงเข้าชนเครื่องบิน และทำให้เกิดระเบิดขึ้นมา รังควานเป็นครั้งเป็นคราว สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ให้คำอธิบาย ที่อาจ เป็นไปได้ว่า เครื่องบินและเรือเหล่านั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปยังอีกมิติหนึ่ง ด้วย การกระทำของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อีก ทฤษฏีหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลว่า เครื่องบินอาจพุ่งดิ่งลงสู่ทะเล เพราะแรงดึงดูด ของ สนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือแรงโน้มถ่วงของโลก ที่เกิดจากฝีมือการกระทำของสิ่งมีชีวิต ที่มีปัญญาสูง เมื่อเครืองบิน นั้นร่อนลงสู่พื้นน้ำนักบินและลูกเรือก็จะถูกจับตัวโดย มนุษย์จากจานบิน (UFO) ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์อีกพวกหนึ่ง ที่ไม่คุ้นเคยกับชาวโลก ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ที่เหลือรอดมีชีวิต สืบต่อกันมาจากสงครามนิวเคลียร์มหาประลัย ที่เกิดขึ้น ในกาลก่อน หรือเป็นมนุษย์จากอวกาศนอกโลก หรือมนุษย์ในอนาคต ที่ต้องการ รวบรวมตัวอย่างการดำรงชีวิตของ ชาวโลก เพื่อการศึกษาค้นคว้า หรือป้องกันภัย ที่จะเกิด จากอาวุธนิวเคลียร์ ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีอยู่หลายกรณีเกี่ยวกับการสืบสวนความลึกลับของเรื่องนี้ ที่เจ้าหน้าที่มุ่งตรงใน ประเด็นซึ่งเกี่ยวกับท้องทะเล โดยเฉพาะเพราะแม้ว่า เราจะอยู่ในสมัยที่กำลังก้าวเข้าสู่ อวกาศก็ตาม แต่ความลึกลับของท้องทะเล ยังคงเป็นสิ่งมืดมน สำหรับพวกชาวโลกอยู่ ก่อน อื่นเราจะต้องรับความจริงที่ว่า 3 ใน 5 ส่วนของพื้นใต้มหาสมุทร เรายังรู้จักกันน้อยกว่า ปล่องภูเขาไฟในดวงจันทร์ หรือพื้นราบบนดาวอังคารเสียอีก เรามีแต่แผนที่ทางทะเล ที่เขียนขึ้นอย่างหยาบ ๆ จากการ สำรวจโดยใช้เสียงสะท้อนของโซน่า ใช้เครื่องดำน้ำลึก หรือเรือดำน้ำที่มีเขตจำกัดสำรวจได้เฉพาะพื้นน้ำที่ไม่ลึกนัก เท่านั้น และความประสงค์ ส่วนใหญ่ จะมุ่งเฉพาะการค้นหาแหล่งน้ำมัน และทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นเอง เรายัง ไม่อาจจะทราบได้ว่า ในส่วนก้นบึ้งที่ลึกที่สุด มีอะไรที่จะสร้างความประหลาดใจ อย่างใหญ่หลวงให้แก่พวกเราบ้าง พื้นทะเลลึกและหุบเหวใต้ท้องทะเล อาจจะเป็นที่อาศัย ของสิ่งมีชีวิตที่มีมันสมองและฉลาดเกินกว่าเราจะคาดคิด ก็เป็นได้
ความลึกลับมหัศจรรย์ ใต้ท้องทะเล หาได้หยุดยั้งเพียงเท่าที่กล่าวมาแล้วไม่ นิยายปรัมปรา เล่าลือสืบต่อเนื่องกันมา เกี่ยวกับพิภพ และสัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเล โดย ไม่มีวันจบสิ้น และยิ่งการค้นพบหลักฐานซากเมืองโบราณ ใต้พื้นน้ำ ลึกเป็นพัน ๆ ฟุต ในหลายส่วนของพื้นมหาสมุทรทั่วโลก ยิ่งทำให้เรื่องพิลึกกึกกือได้รับความสนใจจาก ความอยากรู้ อยากเห็นของชาวโลกยิ่งขึ้น เราเคยทราบวัฒนธรรม และความรุ่งโรจน์ ของ ชาวเมืองแอตแลนติส โบราณจากบันทึกของ มหาปราชญ์เพลโตเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันนักโบราณคดีและนักภูมิศาสตร์ ต่างเชื่อมั่นว่าอาณาจักรแอตแลนติก อันเคยรุ่งเรือง ด้วยอารยธรรมมาก่อนนั้นมีจริง ขณะนี้เมืองทั้งเมืองได้จมหายอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร แอตแลนติคที่ใดที่หนึ่ง
อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่โคลัมบัสเมื่อห้าร้อยปีก่อน คือส่วนหนึ่งของ กระแสน้ำอุ่น กัลฟ์ตรีม ที่เรียกกันว่าสายน้ำขาว พื้นน้ำบริเวณนี้จะมองเห็นสุกใส ด้วย แสงเรืองเป็นทางยาว ระยะทางเป็นไมล์ ๆ ใกล้ ๆ กับ บาฮามัส ซึ่งในปัจจุบันแสงเรือง บนพื้นน้ำเหล่านี้ก็ยังคงปรากฏอยู่การตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ว่าเกิดการเรืองแสงของจุลินทรีย์ในน้ำที่ถูกฝูงปลารบกวนหรือเป็นแสงเรืองที่เกิดจาก กัมมันตภาพรังสี หรืออาจเป็น การเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาใต้ท้องทะเลกันแน่ และยิ่งกว่านั้น มีเหตุผลพอจะทำให้เชื่อได้ว่า พื้นที่ใต้มหาสมุทรแถวนั้นอาจเป็นที่ตั้งฐาน ใต้น้ำ ของชาวนอกโลก ที่มาศึกษาชีวิตความเป็นไปในโลกของเราก็ได้ และแสงเรือง ที่เกิดขึ้น อาจเป็นสัญญาณให้ยานอวกาศของพวกเขาทราบตำแหน่งที่ตั้งและมองเห็นได้ ชัดเจน ก่อนที่ยานอวกาศจะเข้าสู่บรรยากาศโลก เหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ท่านอย่าเพิ่ง เชื่อปักใจ ไปกับอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะตราบใดที่เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัด ปรากฏการณ์ประหลากชองสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังเป็นเรื่องลึกลับ ที่มืดมนสำหรับเราอยู่

เด็กไม่เอาถ่าน คำนี้มีที่มาจากอะไร?


เด็กไม่เอาถ่าน คำนี้มีที่มาจากอะไร?

เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ เด็กไม่เอาถ่าน

ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะ ในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"

น้ำแข็งทางแถบเดียวของอาร์กติกละลาย ดันน้ำทะเลล้นสูง5ม.


น้ำแข็งทางแถบเดียวของอาร์กติกละลาย ดันน้ำทะเลล้นสูง5ม.

นักวิจัยฯ ออสซี่ ระบุ สาเหตุหลักมาจากแผ่นน้ำแข็งบริเวณนั้น ตามริมฝั่งของกรีนแลนด์ ทางแอนตาร์กติกาตะวันตกจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล จากภาวะที่มหาสมุทรอุ่นขึ้น...ศูนย์วิจัยแอนตาร์กติก มหาวิทยาลัยวิกตอเรียของออสเตรเลีย กล่าวเตือนว่า หากว่าแผ่นน้ำแข็งทางบริเวณแถบตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกาซึ่งเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุด พากันละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกล้นสูงขึ้นอีก 5 เมตร รองผู้อำนวยการศูนย์ นายทิม นาอิช กล่าวว่า "แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกได้โตหนาขึ้น และได้ทะลายลงตลอดช่วงเวลา 5 ล้านปีที่แล้ว ไม่ต่ำกว่า 40 ครั้ง ทำให้ระดับน้ำทะเลแปรปรวนอย่างหนัก"จากหลักฐานแสดงว่า แผ่นน้ำแข็งบริเวณนั้น ตามริมฝั่งของกรีนแลนด์ ทางแอนตาร์กติกาตะวันตกจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ดังนั้น เมื่อมหาสมุทรอุ่นขึ้น ก็จะทำให้แผ่นน้ำแข็งอุ่นขึ้นด้วย" และบอกเสริมว่า "วิธีที่จะเข้าใจเรื่องนี้วิธีหนึ่ง ก็คือศึกษาสถิติของอากาศเมื่อสมัยยุคหิน ย้อนไปถึงยุคที่โลกยังอุ่นอยู่ เพื่อจะรู้ได้ว่าบริเวณแอนตาร์กติกาตะวันตกเป็นอย่างไร""เรารู้มาว่าก๊าซที่ทำให้โลกร้อนในบรรยากาศ มีปริมาณสูงกว่าในปัจจุบันอยู่เล็กน้อย และโลกก็ร้อนกว่า 2 หรือ 3 องศา เมื่อแผ่นน้ำแข็งของแอนตาร์กติกาตะวันตกทลายลงหลายหน ระดับน้ำทะเลได้สูงขึ้นอีกถึง 10 เมตร"เขาบอกสรุปว่า "ในอดีตความเปลี่ยนแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศเกิดเป็นไปเองตามธรรมชาติ แต่สมัยนี้เรากลับไปผลักดันมันขึ้น ก๊าซที่ทำให้โลกร้อนถูกสะสมอยู่มากขึ้นและอุณหภูมิก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าแต่ก่อน".




วิธี 'สู้หวัดใหญ่ 2009' 'ขยันล้างมือ'

วิธี 'สู้หวัดใหญ่ 2009' 'ขยันล้างมือ'



เรื่องง่ายๆไฉนไม่ทำ?
กระแส “ตื่นกลัว” โรค “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” ลามไปทุกทิศทั่วไทย เนื่องเพราะมีคนไทยป่วยเพิ่ม-ตายเพิ่มเพราะโรคนี้แทบทุกวัน อย่างไรก็ดี จากกระแสตื่นกลัวนี้หากปรับเปลี่ยน ให้กลายเป็นการ “ตื่นตัว” ในการที่จะ “ป้องกันโรค” ก็จะดีกว่าแค่ตื่นกลัว ซึ่งทางฝ่ายสาธารณสุขก็กำลังรณรงค์อย่างเต็มที่
จริงอยู่....วันนี้เรื่องหวัดใหญ่ 2009 มิใช่เรื่องใหม่
ทว่า...การเรียนรู้เรื่องหวัดใหญ่ 2009 ก็ยังสำคัญ
เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข นำทีมโดย ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ เข้ารณรงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แก่ประชาชน ผ่านทางหนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” ซึ่งประเด็น “ล้างมือ” ก็ได้ถูกเน้นย้ำว่าอย่ามองข้าม !! ทั้งนี้ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ บอกว่า...
ในภาวะปกตินั้น การใช้ “หน้ากากอนามัย” มีความสำคัญมากในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่ติดต่อได้ทางระบบทางเดินหายใจ ซึ่ง คนที่ไม่สบายจะต้องใส่หน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ระบาดไปยังผู้อื่น
นอกจากนี้ คนที่ต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่เสี่ยงควรจะใส่หน้ากาก อนามัยเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ไปรับเชื้อจากผู้อื่น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรค อย่างเช่นเมื่อต้องไปโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่รวมคนป่วยสารพัดโรค คนที่ไม่ป่วยถ้าต้องเข้าไปก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองด้วย
“การเฝ้าระวังและดูแลการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์ใหม่ 2009 การป้องกันการติดต่อทุกประเภท เป็นสิ่งที่สามารถควบคุมได้ สามารถป้องกันได้ หากทุกคนร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานสาธารณสุขแต่ละพื้นที่อย่างเคร่งครัด”
ดร.นพ.สมยศ บอกต่อไปว่า... การแพร่เชื้อติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น เกิดจากการที่ผู้ป่วยไอ จาม ซึ่งผู้รับเชื้อจะหายใจเอาฝอยละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย เข้าไปในระยะ 1 เมตร เนื่องจากเชื้อไวรัสนั้นจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ
อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อบางรายก็ได้รับเชื้อเบื้องต้นจาก “มือ” โดย สัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ที่มีคนไปใช้บริการจำนวนมาก เช่น... ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ สถาน บันเทิง และสถานที่แออัดต่าง ๆ แล้วใช้มือแคะจมูก ขยี้ตา หรือหยิบอาหารเข้าปาก
สำหรับสถานที่เสี่ยง ผู้ที่รับผิดชอบดูแลก็จะต้องทำความสะอาดอุปกรณ์และผิวสัมผัสสาธารณะต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อให้มากเป็น พิเศษ เช่น... ลูกบิดประตู ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันไดเลื่อน รถเข็นของในห้างสรรพสินค้า ก้านชักโครก ก๊อกน้ำ โต๊ะ เก้าอี้ ไมโครโฟนร้องเพลง แป้นคีย์ บอร์ด เมาส์คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยต้องเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือน้ำผสมผงซักฟอก
การเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือน้ำผสมผงซักฟอก คือทุก ๆ 2 ชั่วโมง และอาจติดตั้งแอลกอฮอล์เจลล้างมือไว้ตามประตูเข้า-ออก โซนร้านอาหาร เพื่อบริการล้างมือฆ่าเชื้อโรค
“ก็ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและองค์กรต่าง ๆ เพื่อช่วยกันป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เพื่อลดผลกระทบต่อประเทศไทย” ...อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพระบุ
พร้อมกันนี้ยังกล่าวย้ำเป็นพิเศษถึงวิธีป้องกันการแพร่ระบาดไข้ หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้วยว่า... “สิ่งสำคัญพื้นฐานที่ต้องทำเป็นประจำอย่าให้ขาด คือต้องหมั่นล้างมือบ่อย ๆ ให้สะอาด” เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีการรณรงค์ แต่คนไทยก็มักจะไม่ค่อยชอบล้างมือ วันหนึ่งล้างแค่ 1-2 ครั้ง หรือบางคนก็ไม่ล้างเลย
ดังนั้น ต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ “ขยันล้างมือ” ทำให้ติดเป็นนิสัย เพราะ “สามารถขจัดเชื้อโรคออกจากมือได้ถึงร้อยละ 80” โดย เปิดก๊อกน้ำให้น้ำรดมือ พร้อมถูสบู่ให้ทั่ว ทั้งฝ่ามือ หลังมือ นิ้ว หลังนิ้ว ซอกนิ้ว ซอกเล็บ ข้อมือ ล้างอย่างน้อยครึ่งนาที หรือจะใช้แอลกอฮอล์เจล ทำความสะอาดมือก็ได้

ทั้งนี้ ดร.นพ.สมยศ บอกด้วยว่า... ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดพิมพ์สมุดปกเขียว หรือคู่มือประชาชนรู้เท่าทันเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 จำนวน 100,000 เล่ม พร้อมจัดทำแผ่นพับให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 แจกประชาชนทั่วไป รวมถึงจัดทำโปสเตอร์ เพื่อเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้ ซึ่งไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ให้ความรู้ทั้งสถานการณ์โรค คำแนะนำหลักปฏิบัติตัวเพื่อ ป้องกันโรค รวมถึงการล้างมือที่ช่วยขจัดเชื้อที่ติดมากับมือ ซอกเล็บ ง่ามนิ้ว ได้ถึงร้อยละ 80
คู่มือประชาชน-แผ่นพับให้ความรู้ประชาชนดังกล่าวนี้ ทาง กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการจัดส่งไปให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล สถานีอนามัย เพื่อแจกให้ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ และในส่วนกลางนั้นยังสามารถติดต่อขอรับได้ที่ ศูนย์บริการร่วมกรมควบคุมโรค อาคาร 1 ชั้น 1 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี หรือติดต่อขอคำแนะนำ-สอบถามข้อมูล ได้ที่ โทร. 0-2590-3333 ตลอด 24 ชั่วโมง
“ตื่นตัว” ย่อมจะ “ดีกว่าตื่นกลัว” โดยที่ไม่ได้ทำอะไร
ป้องกัน “หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่” คนไทยก็ทำเองได้ง่าย ๆ
และ “ขยันล้างมือ” ก็เป็นวิธีหนึ่ง...ที่อย่ามองข้าม !!!.
คุณประโยชน์ของผัก


1. สะเดา (Neem tree)

มีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตาเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ


2. ผักกาดขาว (Chinese white cabbage)

ช่วยระบบย่อยอาหารขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลทสูง บำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์


3. ต้นหอม (Shallot)

มีน้ำมันหอมระเหย บรรเทาอาการหวัดมีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง


4. แครอท (Carrot)

มีเบต้าแคโรทีน ป้องกันโรคมะเร็งมีแคลเซียม แพคเตท ลดระดับ คลอเลสเตอรอลได้


5. หอมหัวใหญ่ (Onion)

มีสารฟลาโวนอยด์ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด


6. คะน้า (Chinese kale)

มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูงป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง


7. พริก (Chilli)

มีแคปไซซินกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือดช่วยให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ


8. กระเจี๊ยบเขียว (Okra)

ลดความดันโลหิต บำรุงสมองลดอาการกระเพาะหรือลำไส้อักเสบ


9. ผักกระเฉด (Water mimosa)

ดับพิษไข้กากใยช่วยระบบขับของเสีย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร


10. ตำลึง (Ivy gourd)

มีวิตามินเอสูง ดีต่อดวงตา เส้นใยจับไนเตรตลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร


11. มะระ (Chinese bitter cucumber)

มีแคลเซียม ฟอสฟอรัสเป็นยาระบายอ่อน ๆ น้ำคั้นลดระดับน้ำตาลในเลือด


12. ผักบุ้ง (Water spinach)

บรรเทาอาการร้อนใน มีวิตามินเอบำรุงสายตาธาตุเหล็กบำรุงเลือด


13. ขึ้นฉ่าย (Celery)

มีกลิ่นหอม ช่วยเจริญอาหาร มีวิตามินเอ บีและซี บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด


14. เห็ด (Mushroom)

มีแคลอรีน้อย ไขมันต่ำ มีวิตามินดีสูงช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูกและฟัน


15. บัวบก (Indian pennywort)

มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายบำรุงสมองและความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ


16. สะระแหน่ (Kitchen mint)

มีกลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่นทำให้ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัว


17. ชะพลู (Cha-plu)

รสชาติเผ็ดเล็กน้อย แก้จุกเสียด ขับเสมหะ มีแคลเซียมสูง


18. ชะอม (Cha-om)

ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้มีเส้นใยคอยจับ อนุมูลอิสระ


19. หัวปลี (Banana flower)

รสฝาด แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนมมีกากใย โปรตีน และวิตามินซีสูง


20. กระเทียม (Garlic)

ลดไขมันในเลือด ป้องกันหัวใจขาดเลือดใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็ก วิตามินซีสูง


21. โหระพา (Sweet basil)

มีน้ำมันหอมระเหยทำให้โล่งจมูก ช่วยระบายลมมีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม


22. ขิง (Ginger)

บรรเทาอาการหวัดเย็น ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อนแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ


23. ข่า (Galangal)

มีน้ำมันหอมระเหย ช่วยระบบย่อยอาหาร ขับลมมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา


24. กระชาย (Wild ginger)

บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุมีวิตามินเอและแคลเซียม


25. ถั่วพู (Winged bean)

ให้คุณค่าทางอาหารสูง มีโปรตีน แคลเซียมฟอสฟอรัส และสารช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว


26. ดอกขจร (Cowslip creeper)

กระตุ้นให้รู้รสอาหาร ให้พลังงานสูงประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน


27. ถั่วฝักยาว (Long bean)

มีเส้นใย ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินซีช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด


28. มะเขือเทศ (Tomato)

มีวิตามินเอสูง วิตามินซี รสเปรี้ยวช่วยกระตุ้นน้ำย่อย และแก้อาการคอแห้ง


29. กะหล่ำปลี (White cabbage)

มีกลูโคซิโนเลทเมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง


30. มะเขือพวง (Plate brush eggplant)

ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลดความดันเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส


31. ผักชี (Chinese paraley)

ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหารมีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง


32. กุยช่าย (Flowering chives)

มีกากใย ช่วยระบายของเสียมีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง


33. ผักกาดหัว (Chinese radish)

แก้ไอ ขับเสมหะ เพิ่มภูมิต้านทางโรคมีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี


34. กะเพรา (Holy basil)

แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง มีเบต้าแคโรทีนสูงป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือดได้


35. แมงลัก (Hairy basil)

ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันเลือดออกตามไรฟันขับลม ขับเหงื่อ


36. ดอกแค (Sesbania)

กินแก้ไข้ ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงเป็นยาระบายอ่อน ๆ มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา

Blaise Pascal

Blaise Pascal

June 19, 1623 Clermont

August 19, 1662 Paris




Achievement
Invented one of the first mechanical calculators:
the pascaline

Biography
Among the contemporaries of Descartes none displayed greater natural genius than Pascal, but his mathematical reputation rests more on what he might have done than on what he actually effected, as during a considerable part of his life he deemed it his duty to devote his whole time to religious exercises.


Blaise Pascal was born at Clermont on June 19, 1623, and died at Paris on Aug. 19, 1662. His father, a local judge at Clermont, and himself of some scientific reputation, moved to Paris in 1631, partly to prosecute his own scientific studies, partly to carry on the education of his only son, who had already displayed exceptional ability. Pascal was kept at home in order to ensure his not being overworked, and with the same object it was directed that his education should be at first confined to the study of languages, and should not include any mathematics. This naturally excited the boy's curiosity, and one day, being then twelve years old, he asked in what geometry consisted. His tutor replied that it was the science of constructing exact figures and of determining the proportions between their different parts. Pascal, stimulated no doubt by the injunction against reading it, gave up his play-time to this new study, and in a few weeks had discovered for himself many properties of figures, and in particular the proposition that the sum of the angles of a triangle is equal to two right angles.


His father, struck by this display of ability, gave him a copy of Euclid's Elements, a book which Pascal read with avidity and soon mastered.


Before Pascal turned 13 he had proven the 32-nd proposition of Euclid and discovered an error in Rene Descartes geometry. At 16, Pascal began preparing to write a study of the entire field of mathematics, but his father required his time to hand total long columns of numbers. Pascal began designing a calculating machine, which he finally perfected when he was thirty, the pascaline, a beautiful handcrafted box about fourteen by five by three inches. The first accurate mechanical calculator was born. The Pacaline was not a commercial success in Pascal's lifetime; it could do the work of six accountants and people feared it would create unemployment.


At the age of fourteen he was admitted to the weekly meetings of Roberval, Mersenne, Mydorge, and other French geometricians; from which, ultimately, the French Academy sprung. At sixteen Pascal wrote an essay on conic sections; and in 1641, at the age of eighteen, he constructed the first arithmetical machine, an instrument which, eight years later, he further improved. His correspondence with Fermat about this time shows that he was then turning his attention to analytical geometry and physics. He repeated Torricelli's experiments, by which the pressure of the atmosphere could be estimated as a weight, and he confirmed his theory of the cause of barometrical variations by obtaining at the same instant readings at different altitudes on the hill of Puy-de-Dôme.


In 1650, when in the midst of these researches, Pascal suddenly abandoned his favorite pursuits to study religion, or, as he says in his Pensées, "contemplate the greatness and the misery of man''; and about the same time he persuaded the younger of his two sisters to enter the Port Royal society.


In 1653 he had to administer his father's estate. He now took up his old life again, and made several experiments on the pressure exerted by gases and liquids; it was also about this period that he invented the arithmetical triangle, and together with Fermat created the calculus of probabilities. He was meditating marriage when an accident again turned the current of his thoughts to a religious life. He was driving a four-in-hand on November 23, 1654, when the horses ran away; the two leaders dashed over the parapet of the bridge at Neuilly, and Pascal was saved only by the traces breaking. Always somewhat of a mystic, he considered this a special summons to abandon the world. He wrote an account of the accident on a small piece of parchment, which for the rest of his life he wore next to his heart, to perpetually remind him of his covenant; and shortly moved to Port Royal, where he continued to live until his death in 1662. Constitutionally delicate, he had injured his health by his incessant study; from the age of seventeen or eighteen he suffered from insomnia and acute dyspepsia, and at the time of his death was physically worn out.


His famous Provincial Letters directed against the Jesuits, and his Pensées, were written towards the close of his life, and are the first example of that finished form which is characteristic of the best French literature. The only mathematical work that he produced after retiring to Port Royal was the essay on the cycloid in 1658. He was suffering from sleeplessness and toothache when the idea occurred to him, and to his surprise his teeth immediately ceased to ache. Regarding this as a divine intimation to proceed with the problem, he worked incessantly for eight days at it, and completed a tolerably full account of the geometry of the cycloid.
Pascal was dismayed and disgusted by society's reactions to his machine and completely renounced his interest in science an mathematics, devoting the rest of his life to God. He is best known for his collection of spiritual essays,
Les Pensées. Even though the basic design of the Pascaline lived on in mechanical calculators for over three hundred years. As a counting machine, the Pascaline was not superseded until the invention of the electronic calculating machine. "The arithmetical machine produces effects which approach nearer to thought than all the actions of animals", wrote Pascal in Pensées, (a -customarily- lengthy piece) "but it does nothing which would enable us to attribute will to it, as to animals." Pascal, genius by any measure, died of a brain hemorrhage at the age of 39.