วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552







วันนี้ในอดีต...มารู้กันว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง...

24 ธันวาคม พ.ศ. 2361 : วันเกิด เจมส์ จูล นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ


24 ธันวาคม พ.ศ. 2361 วันเกิด เจมส์ จูล (James Joule) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ผู้ที่ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกลและพลังงานความร้อน และเขายังค้นพบความสัมพันธ์ของความต้านทานไฟฟ้าและความร้อนที่ปล่อยออกมา ต่อมาเรียกว่ากฎของจูล เขาได้รับการยกย่องโดยใช้ชื่อของเขาเป็นชื่อหน่วยของความร้อน โดย 1 จูล = 4.2 แคลอรี่ เขาถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2432 ขณะอายุ 71 ปี



24 ธันวาคม พ.ศ. 2449:รายการวิทยุรายการแรกออกอากาศ โดยศาสตราจารย์ เรจิเนลด์ เฟสเซสเดนท์







24 ธันวาคม พ.ศ. 2449 วันนี้รายการวิทยุรายการแรกออกอากาศ โดยศาสตราจารย์ เรจิเนลด์ เฟสเซสเดนท์ จากรัฐแมสซาชูเสจ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกอากาศเกี่ยวกับบทกวี การสีไวโอลิน และสุนทรพจน์ ใช้คลื่น 429 แรงขับเคลื่อนจากพลังไอน้ำ ใช้สายอากาศสูง 429 ฟุต และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังน้ำ





24 ธันวาคม พ.ศ. 2522:Ariane1จรวดลำแรกของกลุ่มประเทศยุโรป ทะยานขึ้นสู่อวกาศเป็นผลสำเร็จ




แมวตาเพชร เกิดจากอะไร



มนุษย์มีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือชอบสะสมของแปลกๆหรือสิ่งแปลกๆ ไว้ใกล้ตัว เพราะเชื่อว่าจะนำสิริมงคลมาให้ สะสมไปถึงขั้นเลี้ยงสัตว์ที่แปลก อย่างแมวตาเพชรหรือเพชรตาแมว
ได้ยินข่าวเป็นระยะๆ ว่ามีคนได้เพชรตาแมวมาจากแมวตัวนั้นตัวนี้ และยังบอกสำทับมาด้วยว่าจะทำให้เกิดโชคลาภต่างๆ นานา ยอมเสียสตางค์ซื้อแมวหลายแสนบาท หรือ เป็นล้านบาทก็ยังมี
ผลสุดท้ายต้องมานั่งซอกซ้ำใจ เพราะเมื่อแมวตัวนั้นตายไปแล้วปรากฏว่าสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นเพชรในตาแมวเหล่านั้นก็สูญสลายหายไปหมด กลายเป็นส่วนหนึ่งของซากแมว เพราะความแวววาวเหมือนอัญมณีนั้นก็คือเลนส์ตาซึ่งเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของแมวเท่านั้นเอง
สิ่งที่เราเรียกว่าเพชรตาแมวนั้น แท้ที่จริงคือแมวที่มีความผิดปกติ คือเป็นโรคตาที่เรียกว่าต้อ เหมือนกรณีของคน อาการที่แสดงคือตาบวมโตขึ้น ตัวเลนส์จะมีสีขุ่นมัวและมีประกายออกมาเสียด้วย มองผาดๆ แล้วก็นึกว่าเป็นตาเพชร ความจริงคือแมวป่วยทางตาเท่านั้นเอง ไม่ใช่อาถรรพ์ของเพชรตาแมวที่ไหนเลย






ที่มา วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
http://knowledgesharing.thaiportal.net/บทความ/tabid/93/articleType/ArticleView/articleId/167/.aspx

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552


เทศน์มหาชาติ


เทศน์มหาชาติ คือการร่ายยาว หรือการเล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ว่าด้วยพระบุพจริยาของพระพุทธองค์ในอดีตชาติ เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระชาติสุดท้าย ก่อนจะตรัสรู้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ


เวสสันดรชาดก เป็นหนึ่งในสิบของทศชาติชาดก หรือที่เรียกกันว่าพระเจ้าสิบชาติ ซึ่งเป็นชาดกที่กล่าวถึงการบำเพ็ญ พระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ถึง ๑๐ พระชาติด้วยกันคือ เตมียชาดก ทรงบำเพ็ญ เนกขัมมบารมี, มหาชนกชาดก ทรงบำเพ็ญ วิริยบารมี, สุวรรณสามชาดก ทรงบำเพ็ญ เมตตาบารมี, เนมีราชชาดก ทรงบำเพ็ญ อธิษฐานบารมี, มโหสถชาดก ทรงบำเพ็ญ ปัญญาบารมี, ภูริทัตชาดก ทรงบำเพ็ญ ศีลบารมี, จันทกุมารชาดก ทรงบำเพ็ญ ขันติบารมี, นารทชาดก ทรงบำเพ็ญ อุเบกขาบารมี, วิฑูรชาดก ทรงบำเพ็ญ สัจจบารมี, เวสันดรชาดก ทรงบำเพ็ญ ทานบารมี


การเทศน์มหาชาติ จัดเป็นโบราณประเพณีอย่างหนึ่ง ซึ่งบรรพบุรุษไทยยึดถือสืบทอดและปฏิบัติสืบต่อกันมา ในปัจจุบันวัด ต่าง ๆ จัดให้มีการเทศน์มหาชาติขึ้น ในเทศกาลช่วงเข้าพรรษา ๓ เดือน สำหรับการเทศน์มหาชาติเป็นการร่วมกันจรรโลงมรดกทางวัฒนธรรมที่สูงค่า ให้อยู่คู่กับพระพุทธศาสนา โดยน้อมรำลึกถึงเรื่องราว ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ชาติที่เป็นพระเวสสันดร พระองค์ทรงบำเพ็ญทานบารมียิ่งใหญ่คือการบริจาคทรัพย์สมบัติ พระโอรส พระธิดา และพระมหาเหสี ซึ่งการกระทำดังกล่าวเรียกว่า “มหาทาน” ยากที่ปุถุชนทั่วไปจะทำได้


เทศมหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ ได้แก่


1. กัณฑ์ทศพร พระนางผุสดีขอพระอินทร์ 10 ประการ

2. กัณฑ์หิมพานต์ พระเวสสันดรบริจาคช้างปัจจัยนาเคนทร์

3. กัณฑ์ทานกัณฑ์ พระเวสสันดรบริจาคสัตตสดกมหาทาน

4. กัณฑ์วนปเวศน์ พระเวสสันดรและครอบครัวเดินชมป่า

5. กัณฑ์ชูชก นางอมิตตดาบอกชูชกให้ไปทูลขอกัณหาและชาลี

6. กัณฑ์จุลพน ชูชกหลอกพรานเจตบุตร

7. กัณฑ์มหาพน ชูชกหลอกพระอัจจุฤาษี

8. กัณฑ์กุมาร ชูชกขอกัณหาและชาลีต่อพระเวสสันดร

9. กัณฑ์มัทรี พระอินทร์ถ่วงเวลาพระนางมัทรีไม่ให้ไปทันเวลา

10. กัณฑ์สักกบรรพ พระเวสสันดรบริจาคพระนางมัทรี

11. กัณฑ์มหาราช ชูชกนอนอย่างสบายใจเพราะคิดว่ามีทาสรับใช้แล้ว

12. กัณฑ์ฉกษัตริย์ กษัตริย์ 6 พระองค์พบกันดีใจและร้องไห้จนสลบพระอินทร์บันดาลฝนโบกขรพรรษให้ตก

13. กัณฑ์นครกัณฑ์ พระเวสสันดรและครอบครัวเสด็จกลับนคร

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552



















เทศกาลทุ่งทานตะวันบาน
เทศกาลทุ่งทานตะวันบาน เป็นชื่อเรียกเทศกาลรวมๆ ในการจัดชมดอกทานตะวันในบริเวณ

ภาคกลางของประเทศไทย จะจัดขึ้นโดยจะมีในช่วงเดือนพฤศจิกายน - กุมพาพัน ของทุกปี โดย
มีพื้นที่ปลูกใน อำเภอพัฒนานิคม บางส่วนของอำเภอเมืองลพบุรี รวมทั้งบริเวณโดยรอบเขื่อนป่า
สักชลสิทธิ์ และรวมถึงพื้นที่ติดต่อกันในจังหวัดสระบุรีอีกด้วย

การเยี่ยมชมทุ่งทานตะวันบาน สามารถเดินทางมาได้หลายเส้นทาง โดยทางถนนให้เดินทางมา
ตามถนนพหลโยธิน ก่อนเข้าเมืองลพบุรี 5 กิโลเมตร ให้เลี้ยวขวา เข้าเส้นทางไป อำเภอพัฒนา
นิคม (ตามทางหลวงหมายเลย 3017) มุ่งหน้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ หรือเส้นทางที่สอง เดินทางตาม
ถนนพหลโยธิน มาถึงสามแยกพุแค ให้ไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ (ตามทางหลวงหมายเลข 21) มุ่ง
หน้าสู่อำเภอพัฒนานิคมเช่นกัน ซึ่งทั้งสองเส้นทางนี้ในช่วงที่มีเทศกาลทุ่งทานตะวันบาน จะมี

ทิวทัศน์สองข้างทางที่สวยงามมาก ท่านสามารถเยี่ยมชม ถ่ายภาพ ในทุ่งทานตะวันได้ โดยอาจ
เสียค่าเยี่ยมชมเล็กน้อย รวมทั้งยังสามารถซื้อของฝาก เช่น น้ำผึ้ง ของฝากจากจังหวัดลพบุรี

หรือผลิตภัณฑ์จากดอกทานตะวันได้อีกด้วย

อีกเส้นทางหนึ่งที่นิยมคือ เส้นทางรถไฟ โดยจะมีรถไฟออกเดินทางจาก
สถานีรถไฟหัวลำโพงทุก

วัน ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยการโทร 1690 โดยขบวนรถไฟ

จะวิ่งผ่านอ่างเก็บน้ำของ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์บางขบวนจะจอดที่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพื่อให้ผู้

โดยสารได้แวะถ่ายภาพอีกด้วย



















วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพ่อ 5 ธันวามหาราช

5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้


วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552



8 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ

8 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก ผมจึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกันค่ะ

1) อินเทรนด์ (in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า "มันทันสมัย" คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้

2) เว่อร์ (over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ? พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น

He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์ "No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)

3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/คำหวงห้าม/television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วค่ะ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior

5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยค่ะ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."

7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าค่ะ

8) เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กาพย์เห่เรือ

กาพย์เห่เรือ


กาพย์เห่เรือ เป็นคำประพันธ์ประเภทหนึ่ง แต่งไว้สำหรับขับร้องเห่ในกระบวนเรือ โดยมีทำนองเห่ที่สอดคล้องกับจังหวะการพายของฝีพาย ว่าช้า หรือเร็ว มักจะมีพนักงานขับเห่หนึ่งคนเป็นต้นเสียง และฝีพายคอยร้องขับตามจังหวะ พร้อมกับการให้จังหวะจากพนักงานประจำเรือแต่ละลำ


กาพย์เห่เรือนั้น ใช้คำประพันธ์ 2 ชนิดด้วยกัน นั่นคือ กาพย์ยานี 11 และโคลงสี่สุภาพ เรียงร้อยกันในลักษณะที่เรียกว่า กาพย์ห่อโคลง โดยมักขึ้นต้นด้วยโคลง 1 บท แล้วตามด้วยกาพย์ยานี เรื่อยไป จนจบตอนหนึ่งๆ เมื่อจะขึ้นตอนใหม่ ก็จะยกโคลงสี่สุภาพมาอีกหนึ่งบท แล้วตามด้วยกาพย์จนจบตอน เช่นนี้สลับกันไป
กาพย์เห่เรือที่เก่าแก่ที่สุด ที่พบในเวลานี้ คือ กาพย์เห่เรือใน
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยอยุธยาตอนปลาย ทรงแต่งไว้ 2 เรื่อง คือบทเห่ชมเรือ ชมปลา ชมไม้ และชมนก มีลักษณะเป็นเหมือนนิราศ กับอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องกากี
สันนิษฐานกันว่ากาพย์เห่เรือ เดิมคงจะแต่งเพื่อขับเห่กันเมื่อเดินทางไกลในแม่น้ำลำคลอง แต่ในภายหลังคงมีแต่เจ้านายหรือพระราชวงศ์ชั้นสูง และสุดท้ายมีใช้แต่ในกระบวนเรือของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น
กาพย์เห่เรือไม่สู้จะนิยมประพันธ์กันมากนัก เนื่องจากถือเป็นคำประพันธ์สำหรับใช้ในพิธีการ คือ ในกระบวนเรือหลวง หรือ
กระบวนพยุยาตราชลมารค ไม่นิยมใช้ในพิธีหรือสถานการณ์อื่นใด การแต่งกาพย์เห่เรือจึงมักแต่งขึ้นสำหรับที่จะใช้เห่เรือจริงๆ ซึ่งในแต่ละรัชกาล มีการเห่เรือเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น


กาพย์เห่เรือที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน


กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ ในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ นิยมใช้เห่ในกระบวนเรือหลวงจนถึงปัจจุบัน


กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ชมเครื่องคาวหวาน และผลไม้)


กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ชมสวน ชมนก ชมไม้ และชมโฉม)



กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ชมเรือ ชมพระนคร ชมปลา เห่ครวญ เป็นต้น)


กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ ในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (ทรงพระนิพนธ์ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีทรงเปิดสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์)


กาพย์เห่เรือ นิพนธ์ โดย นายฉันท์ ขำวิไล ในวาระฉลอง 25 พุทธศตวรรษ


กาพย์เห่เรือ นิพนธ์ โดย นายหรีด เรืองฤทธิ์ ในวาระฉลอง 25 พุทธศตวรรษ



วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Les histoires les histoires



L’association nationale du porc britannique a proposé Winnie, une jolie cochonne rose et séduisante, comme candidate à la mairie de Londres. Hélas, cette candidature n’a pas été acceptée. Dommage car Winnie avait pour devise « cochon qui s’en dédit ». Devise que nos hommes politiques ne feraient pas mal de mettre à leur répertoire. Et surtout à s’y tenir.Le 21 juin 1791, le roi Louis XVI, la reine Marie-Antoinette, leurs enfants et leur suite quitte Paris secrètement. Ils fuient la révolution. Le cortège s’arrête à Sainte-Menehould, dans une auberge. L’Histoire prétend que c’était pour changer les chevaux. La petite histoire prétend qu’en fait le roi ayant faim s’est arrêté pour manger le fameux pied de porc, spécialité culinaire de la ville. Comme quoi la gourmandise est un vilain défaut qui peut parfois vous faire perdre la tête !Dans son « florilège des mots de l’amour » paru aux éditions Plon, Robert Merle indique à l’expression âge cochon : il s’agit pour les Mauriciens, nous explique Loïc Depecker ( le ziboulateur enchanté – Seuil 1999), de désigner ici l’âge ingrat, autrement dit celui de la puberté. Peut-être après tout n’ont-ils pas, là-bas, de vieux cochons…Toujours dans le même ouvrage, le mot cochonnerie est expliqué ainsi : attesté à la fin du XVIIe siècle dans le sens de pacotille, chose sale ou mal fichue, le mot ne tarde pas à désigner aussi les paroles et actes réputés obscènes. « Il a pour singularité dans les goûts d’aimer et la vieillesse et tout ce qui lui ressemble pour la cochonnerie » (Sade les 120 journées de Sodome ou l’école du libertinage – 1785). Plus tard viendront les cochoncetés.

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อันดับมหาลัยที่ดีที่สุดใน เอเชีย ประจำปี 2552


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด 200 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชียของ QS Asian Universities Ranking 2009 มีมหาวิทยาลัยรัฐของไทย 8 แห่ง ที่ติดอยู่ใน 200 อันดับ ได้แก่

มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 30
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ 35
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) อันดับที่ 81
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) อันดับที่ 85
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) อันดับที่ 108
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) อันดับที่ 109
มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) อันดับที่ 113
และมหาวิทยาลัยบูรพา (มบ.) อันดับที่ 151

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียใน 10 อันดับแรก มีดังนี้
1.University of HONG KONG ฮ่องกง
2.The CHINESE University of Hong Kong ฮ่องกง
3.University of TOKYO ประเทศญี่ปุ่น
4.HONG KONG University of Science and Technology ฮ่องกง
5.KYOTO University ญี่ปุ่น
6.OSAKA University ญี่ปุ่น
7.KAIST - Korea Advanced Institute of Science & Technology ประเทศเกาหลีใต้
8. SEOUL National University เกาหลีใต้
9.TOKYO Institute of Technology ญี่ปุ่น และ
10.National University of Singapore (NUS) ประเทศสิงคโปร์ และ PEKING University สาธารณรัฐประชาชนจีน

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


Thanksgiving Day is a harvest festival. Traditionally, it is a time to give thanks for the harvest and express gratitude in general. It is a holiday celebrated primarily in Canada and the United States. While perhaps religious in origin, Thanksgiving is now primarily identified as a secular holiday.
The date and location of the first Thanksgiving celebration is a topic of modest contention. Though the earliest attested Thanksgiving celebration was on
September 8, 1565 in what is now Saint Augustine, Florida[1][2], the traditional "first Thanksgiving" is venerated as having occurred at the site of Plymouth Plantation, in 1621. The Plymouth celebration occurred early in the history in one of the original thirteen colonies that became the United States, and this celebration became an important part of the American myth by the 1800s.
Today, Thanksgiving is celebrated on the second Monday of October in
Canada and on the fourth Thursday of November in the United States. Thanksgiving dinner is held on this day, usually as a gathering of family members and friends.

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำไมคำว่า"ไทย" ต้องมี "ย" ยักษ์


คำว่า ไทย ซึ่งเขียนโดยมีอักษร ย ยักษ์ สะกด หรือเคียงอยู่กับ ท ทหาร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนิยามว่า ไทย 1 (ไท) น. ชื่อประเทศและชนชาติที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดต่อกับลาว เขมร มาเลเซีย และพม่า.....



ทั้งนี้ หนังสือตำราหรือหนังสือประวัติศาสตร์ของไทยในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นชื่อประเทศหรือชนชาติ ส่วนใหญ่เขียนว่า ไท ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงต้องเขียนให้มีตัว ย ในสมัยหลัง


มีผู้วินิจฉัยไว้ดังมีสาระสำคัญในหนังสือ บันทึกสมาคมวรรณคดี ปีที่ 1 ฉบับที่ 5 มิถุนายน 2475 คำว่า ไท กล่าวกันว่า เนื่องมาจากคำจีนคือ ไท ไถ่ ไท้ ประเด็นสำคัญของปัญหาก็คือเมื่อกล่าวกันว่าเนื่องมาจากคำจีน 3 คำนั้น ไม่มีตัว ย แล้วเหตุใดจึงมาเขียนให้มีตัว ย


ข้อนี้มีผู้เสนอข้อวินิจฉัย 2 ท่าน ดังนี้
1. พระเจนจีนอักษร (สุตใจ ตัณฑากาศ) วินิจฉัยว่า
ก.) คำว่า ไต คงจะเล็งเอาอักษรจีนที่ภาษาแต้จิ๋วอ่านว่า ไต๋ ฮกเกี้ยนอ่านว่า ไต กวางตุ้ง ปักกิ่ง กลาง อ่านว่า ตา หรือ ต๋า ในหนังสือฆังฮียี่เตี้ยน แปลว่า แรกเริ่ม ใหญ่ มหึมา


ข.) คำว่า ไถ่ คงจะเล็งเอาอักษรจีน ซึ่งภาษาจีนทุกภาษาอ่านว่า ไถ่ ในหนังสือฆังฮียี่เตี้ยนแปลว่า ใหญ่ที่สุด


หาก ไท เนื่องมาจากภาษาจีนแล้ว ผู้บัญญัติท่านคงเล็งเอาคำว่า ไถ่ เพราะแปลว่าใหญ่ที่สุด และยังเป็นนามสกุลคนโบราณด้วย ครั้นสืบมาหลายชั่วคน คำว่า ไถ่ ก็แผลงเป็น ไท ส่วนคำว่า ไท้ เป็นภาษาไทย แปลว่าผู้เป็นใหญ่ คงแผลงจากคำว่า ไถ่ หรือ ไท



สำหรับเหตุผลที่เขียนว่า ไทย (มีตัว ย) หนังสือมูลบทบรรพกิจ ฉบับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) กล่าวว่า คำไม้มลายเป็น 2 อย่าง คำไม้มลายที่มี ตัว ย สะกด คำนั้นเป็นภาษามคธอย่าง หนึ่ง คำที่มีแต่ไม้มลายล้วนด้วยเป็นคำไทยอย่างหนึ่ง


การเขียนว่า ไท แล้วเอาตัว ย สะกด ก็ยังอ่านว่าไทย หรือผู้มีอำนาจแผนกอักษรศาสตร์สมัยต่อมา เห็นว่าภาษามคธเป็นภาษาบาลีอันขลัง จึงใช้ ตัว ย สะกดคำว่า ไท ให้เขียนว่า ไทย



2. พระพินิจวรรณการ (แสง สาลิตุล) วินิจฉัยว่า ตรวจดูภาษาไทยในจารึกสุโขทัยก่อนหลักที่ 3 มีคำว่า ไท ใช้โดยมีตัว ย แถมก็มี ไม่มีตัว ย แถมก็มี ได้แต่สันนิษฐานโดยประมวลความในจารึก
คือสันนิษฐานว่าตัว ย เกิดเมื่อจารึกเป็นภาษามคธ (หลักที่ 6) มีคำว่า ลีเทยฺยนามโก ธมฺมราชา เมื่อเรียงพระนามพระเจ้าแผ่นดินลงเป็นภาษามคธมี ตัว ย แล้ว ภาษาไทยก็เลยใส่ตัว ย ลงไปด้วย เพื่อให้พระนามขึ้นสู่ภาษาอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งนับถือกันอยู่มาก


แต่คำว่า ไท ที่มิไช่นามพระเจ้าแผ่นดินยังปล่อยให้ล้นอยู่ก่อน เห็นจะมาเริ่มใส่ตัว ย เติมภายหลังแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลงมา


ส่วนคำว่า ไท้ คือ ไท แต่ทำไม ไท้ จึงไม่ถูกเติมตัว ย ข้อนี้ก็ต้องตอบโดยหลักว่าภาษามคธไม่มีไม้ไท และความรู้สึกในเวลานี้ดูเหมือนจะแปลกันว่าคำแทนพระนามพระเจ้าแผ่นดิน ใช้ในทางแทนเทวดาก็มี
ถ้ายกให้ว่าเป็นคำจีนดังที่พระเจนจีนอักษรได้แปลแล้ว ปัญหาเรื่องแปลว่ากระไรก็ไม่มีในคำนี้


สรุปได้ว่าเราใช้คำว่า ไทย (ท ทหาร-สระไอไม้มลาย-ย ยักษ์) สำหรับเรียกประเทศ คน สังคม วัฒนธรรม ภาษา และสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย หรือเรียกทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในผืนแผ่นดินที่มีชื่อเป็นทางการว่า ประเทศไทย คำว่า ไทย เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า THAI (T-H-A-I)

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552


เรื่องของกบข้างกำแพงวัด



กบ ฟุ้งซ่านตัวหนึ่งนั่งอยู่ข้างกำแพงวัดทุกเช้ามันเฝ้าดูพระออกเดินบิณฑบาตรตั้งแต่เช้ามืด พอพระกลับมาถึงวัดเพื่อฉันเช้า...


กบมันนึกในใจอยากเกิดเป็นพระ เป็น พระสบายดี มีคนถวายอาหารให้กินทุกวัน ..เมื่อพระฉันเสร็จ ก็นำอาหารที่เหลือมากมายนั้นไปให้เด็กวัดกินต่อ แล้วเด็กวัดก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ..ตอนนี้ กบเปลี่ยนใจอยากเกิดเป็นเด็กวัด แล้วเพราะสบายกว่าพระมันเห็นเด็กวัดหลายคนตื่นสายได้และไม่ต้องออกตามพระไปบิณฑบาตก็ได้ สบายกว่าเยอะเลย...


เมื่อเด็กวัดกินเสร็จ ก็โกยเศษอาหารที่เหลือทั้งหมดให้หมาวัดไปกินแล้วเด็กวัดทุกคนก็ไปช่วยกัน ล้างจาน...ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจอยากเกิดเป็นหมาวัด แล้ว เพราะไม่ต้องล้างจาน เหมือนเด็กวัด สบายกว่า...พอหมาวัดกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าบริเวณวัด คอยเห่าคนแปลกหน้า...


ฝูงแมลงวันก็บินมาตอมและกินเศษอาหารต่อจากหมาวัดถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ(อีกแล้ว)อยากเกิดเป็นแมลงวัน เพราะสบายที่สุดไม่ต้องทำอะไรเลย หนำซ้ำยังมีกองอาหารให้กินไม่มีหมดด้วย...


ขณะที่เจ้ากบฟุ้งซ่านกำลังคิดเพลินๆอยู่นั้นพอดีหันมาเห็นแมลงวันบินมาใกล้ๆจึงใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงวันเข้าปากตัวเองกินโดยสัญชาตญาณ ..


ถึงตอนนี้ กบฟุ้งซ่าน จึงบรรลุธรรมฉับพลันคิดได้ว่า เฮ้อ~ เป็นตัวของเราเองนี่แหละ ดีที่สุดแล้วจงเชื่อมั่นในตัวเอง
ร่มไม่ได้มีไว้แค่กันฝน
เมื่อพูดถึง “ร่ม” ใครก็จะคิดถึงหน้าฝน เพราะจะช่วยทำให้ไม่เปียกฝน และสามารถเดินทางได้สะดวกขึ้น แต่ใครจะรู้บ้างว่า “ร่ม” จริง ๆ แล้วในสมัยก่อนหรือยุคเริ่มแรกเขาไม่ได้มีไว้กันฝน วันนี้เกร็ดความรู้จึงนำเรื่องนี้มาฝากกัน...“ร่ม” หรือที่เรียกว่า “Umbrella” มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Umbra” ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลว่า “บังแดด” ร่มถือกำเนิดขึ้นในดินแดนเมโสโปเตเมีย ประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว ซึ่งดินแดนแถบนี้จะมีพื้นที่เป็นทะเลทรายเกือบทั้งหมด นาน ๆ จะมีฝนตกลงมาสักที ร่มจึงใช้ในการกันแดดมากกว่ากันฝนจนเมื่อราว 1,200 ปีก่อนคริสต์กาล ในสังคมอียิปต์เชื่อกันว่า ท้องฟ้าคือร่างกายของเทพธิดานามว่า “นัต” ซึ่งปกคลุมโลกดุจร่มอันมหึมา มนุษย์จึงได้คิดสร้างร่มขึ้นไว้เป็นตัวแทนของเทพธิดานัต เพื่อใช้ปกป้องคุ้มครองผู้ที่อยู่ใต้ร่มเงา ที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงศักดิ์ โดยเฉพาะกษัตริย์ต่อมา ชาวกรีกได้รับเอาวัฒนธรรมการกางร่มมาจากอียิปต์ ในยุคแรก ๆ นั้น จะมีความเชื่อว่าผู้ที่จะกางร่มได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจเท่านั้น แต่ระยะหลังความเชื่อนี้เริ่มจางลง ทำให้คนธรรมดาก็สามารถที่จะเดินกางร่มได้ แต่การกางร่มก็จำกัดอยู่เฉพาะในวงของสตรีเท่านั้น ซึ่งวัสดุที่ใช้ในการทำร่มส่วนใหญ่คือ กระดาษ ต่อมาบรรดาผู้หญิงก็เริ่มที่จะเรียนรู้วิธีการทำร่มแบบใหม่ ที่นอกจากจะกันแดดได้แล้ว ยังสามารถกันฝนได้ด้วย โดยการใช้น้ำมันทาลงบนร่มกระดาษให้ทั่ว ซึ่งร่มก็จะสามารถกันน้ำได้จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ผู้ที่กางร่มส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นผู้หญิง เพราะเนื่องจากว่าผู้ชายกลัวที่จะโดนสบประมาทว่าอ่อนแอ จึงไม่ค่อยมีใครนิยมกางร่มเท่าใดนัก จนในปี ค.ศ.1750 โจนาส แฮนเวย์ ชายชาวอังกฤษ เป็นชายคนแรกที่ลุกขึ้นมาพกร่ม ท่ามกลางเสียงเย้ยหยันของคนรอบข้าง แต่เขาไม่สนใจ และยังยืนยันว่าจะพกร่มต่อไป จนกระทั่งการพกร่มเป็นที่ยอมรับของคนอังกฤษไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้


เคล็ดลับ 10 ข้อในการจำศัพท์ภาษาอังกฤษ รู้สึกสมองตื้อทุกครั้งเมื่อนึกถึงการที่ต้องท่องจำศัพท์ภาษาอังกฤษซะมากมายใช่มั้ย? ที่จริงการท่องศัพท์ไม่จำเป็นต้องเป็นงานที่ทำให้ปวดหัวหรือเหนื่อยใจเสมอไปหรอก เชิญอ่านเคล็ดลับในการเรียนศัพท์ดังต่อไปนี้แล้วนำไปใช้รับรองได้ผล !


1.ความเกี่ยวเนื่อง: ถ้าคุณจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้วเขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้คุณจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น


2. เขียน: การนำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้คุณจำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้กลุ่มคำศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่


3. วาดรูป: ดึงวิญญาณศิลปินในตัวคุณออกมาใช้โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่คุณเรียนอยู่ ภาพที่คุณวาดจะช่วยกระตุ้นความทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต


4. แสดง: แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่คุณกำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าคุณจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น


5. สร้าง: ออกแบบ flashcards ศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วย


6. ความสัมพันธ์: กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้คุณจำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไป


7. ฟัง: นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่คุณพยายามเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้คุณจำการออกเสียงของคำใหม่นั้น


8. เลือก: จำไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่คุณชอบหรือสนใจจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นคุณควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คุณคิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้คุณจำได้แม่นและเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน !


9. ข้อจำกัด: คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้งหมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกลับจะทำให้คุณสมองตื้อแทน


10. สังเกต: พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ

วันออกพรรษา หรือ วันปวารณาออกพรรษา



เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย เนื่องจากเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาจำพรรษา 3 เดือนของพระสงฆ์เถรวาท โดยเป็นวันที่พระสงฆ์จะทำสังฆกรรมปวารณาออกพรรษาในวันนี้ วันออกพรรษาตามปกติ (ออกปุริมพรรษา) จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย
การออกพรรษานั้น ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะ เรียกว่า "ปวารณา"[1] จัดเป็นญัตติกรรมวาจาสังฆกรรมประเภทหนึ่ง ที่ถูกกำหนดโดยพระวินัยบัญญัติให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอดไตรมาสสามารถว่ากล่าวตักเตือนและชี้ข้อบกพร่องแก่กันและกันได้โดยเสมอภาค ด้วยจิตที่ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน เพื่อสามารถให้พระสงฆ์ที่ถูกตักเตือนมีโอกาสรับรู้ข้อบกพร่องของตนและสามารถนำข้อบกพร่องไปแก้ไขปรับปรุงตัวให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อถึงวันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า
ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหนะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัดวันออกพรรษาหนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนครพร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย
นอกจากนี้ ช่วงเวลาออกพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ถือเป็นเวลา
กฐินกาลตามพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเข้าร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานกฐินประจำปีในวัดต่าง ๆ ด้วย โดยถือว่าเป็นงานบำเพ็ญกุศลที่ได้บุญกุศลมากงานหนึ่ง

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ปลายภาค + รับตรง+ GAT PAT โอ้โห.. จะเป็นลม !

รับมือในช่วงสอบแน่นๆ มี ข้อคิดดีๆ มาบอก..

>>> จำเป็นต้องจัดระเบียบตัวเอง

เช้าเรียนที่โรงเรียน บ่ายไปเรียนกวดวิชา เย็นมาทำการบ้าน ดึกๆ เริ่มปวดตา แงแง แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือล่ะเนี่ย.. หากเกิดอาการแบบนี้ แนะนำให้ พักผ่อน. นอนให้อิ่ม นอนให้พอ แล้วค่อนตื่นมาจัดการ

จัดการที่ว่านี้ คือ จัดการตารางเวลาของตัวเอง ดูซิว่าอะไรไหนสำคัญมากน้อย ควรไว้หน้า ไว้หลัง เพราะการสอบแน่นๆ แบบนี้หากจัดตารางดีๆ อ่านครั้งเดียวแต่สอบได้ถึง 3 สนามสอบก็เคยมีมาแล้ว..


>>> อ่านบ้าง ดีกว่าไม่อ่านเลย

“อย่าคิดว่าอ่านไปก็เท่านั้น อ่านไปก็ไม่ทัน ถ้าไม่อ่าน วันนี้ก็เท่ากับ 0 ลองอ่านบ้างถึงจะได้แค่ 10% หรือ 5% อย่างน้อยมันก็ทำให้เรามี % ในการแอดฯ ติด”

เคล็ดไม่ลับสำหรับการทำข้อสอบโทเฟล

อย่างที่ทราบกันว่า ปัจจุบันจะนิยมสอบโทเฟล แบบ IBT หรือแบบอินเตอร์เน็ทกันมากที่สุด และ ข้อสอบโทเฟลแบ่งเป็น 4 พาร์ท คือ อ่าน(reading) ฟัง(listening) พูด(speaking) เขียน(writing) ค่ะ

อ่าน (Reading) - ไม่ควรอ่านทั้งบทความก่อนอ่านคำถาม เพราะจะทำ ให้เสียเวลา(หรือเวลาไม่พอ) ควรอ่านคำถามก่อน อ่านบทความทั้งหมด จากนั้นค่อยๆ หาคำตอบจากบท ความ


ฟัง (Listening) - ระหว่างที่ฟังไป ควรจดคำศัพท์หรือประโยคที่เราได้ ฟังเอาไว้ด้วย เพราะจะได้ไม่ลืมและนำมาตอบคำถาม ได้


พูด (Speaking) - ควรตั้งสมาธิให้ดีถึงดีที่สุด เพราะข้อสอบพูดนั้น เราต้องพูดแล้วอัดด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นระหว่างที่เรากำลังอัดอยู่ คนอื่นก็อาจจะกำลังอัดอยู่เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเสียงคนอื่นอาจทำให้เราเสียสมาธิได้

- ช่วงเวลาที่ให้เตรียมตัวนั้น ควรลิสท์เอาไว้ว่าจะพูดอะไร ซึ่งไม่ควรลิสท์เป็นประโยคเพราะจะทำให้เสียเวลา ควรลิสท์เป็นคำหรือโพยนั่นเอง และควรใส่ Conjunction (คำเชื่อม) เช่น However , Finally , Afther that เป็นต้น

- ไม่ต้องกังวลเรื่องสำเนียงภาษาอังกฤษ ให้พูดไปเลย แต่ต้องพูดให้ชัดค่ะ

- เวลาพูดตอบ ต้องเน้นเหตุผลเป็นหลักค่ะ เช่น ถ้าเค้าถามว่าเห็นด้วยกับความคิดของเด็กคนนี้หรือไม่ ก็ต้องหาเหตุผลมาตอบให้ดีค่ะ เพราะถึงแกรมม่าจะผิดๆ ถูกๆ แต่ถ้ามีเหตุผลของคำตอบที่ดีก็จะช่วยทำให้ได้คะแนนส่วนหนึ่ง

เขียน (Writing) - ต้องพิมพ์เร็วค่ะ ใครพิมพ์ช้าพิมอืดอาดก็ฝึกพิมพ์ให้คล่องให้ไวกันด้วยนะคะ เพราะการพิมพ์ช้าจะทำให้เสียเวลาเป็นอย่างมาก
ประเพณีสารทเดือนสิบ

เป็นงานบุญประเพณีของคนภาคใต้ ของประเทศไทย โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราช ที่ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อซึ่งมาจากทางศาสนาพราหมณ์โดยมีการผสมผสานกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาในภายหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพชนและญาติที่ล่วงลับ ซึ่งได้รับการปล่อยตัวมาจากนรกที่ตนต้องจองจำอยู่เนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยทำไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากนรกในทุกวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 เพื่อมายังโลกมนุษย์โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง ที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังนรก ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10
ช่วงระยะเวลาในการประกอบพิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบจะมีขึ้นในวันแรม 1 ค่ำถึงแรม 15 ค่ำเดือนสิบของทุกปีแต่สำหรับวันที่ชาวใต้มักจะ นิยมทำบุญกันมากคือวันแรม 13-15 ค่ำ ประเพณีวันสารทเดือนสิบโดยในส่วนใหญ่แล้วจะตรงกับเดือนกันยายน

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

France d'outre-mer



Des collectivités françaises en outre-mer ont des statuts particuliers liés à leur plus forte autonomie : les collectivités de Mayotte et de Saint-Pierre-et-Miquelon ont une administration locale unique combinant les fonctions généralement conférées aux régions et départements métropolitains. Toutefois, Mayotte évolue depuis 2001 vers le statut de département d’outre-mer, pour une plus forte intégration. Ces deux collectivités, bien que situées hors de l’Union européenne, utilisent l’euro comme monnaie.

Les autres collectivités d’outre-mer du Pacifique ont des statuts d’autonomie plus étendue où cohabitent l’administration territoriale régalienne et l’administration coutumière (Polynésie française, Nouvelle-Calédonie, Wallis-et-Futuna). Bien que possédant toujours une division et une administration communale (sauf à Wallis-et-Futuna où ce sont les villages coutumiers qui jouent ce rôle au sein des trois royaumes coutumiers), ces collectivités ne sont pas découpées en départements, mais en provinces (ou royaumes) et en villages (sur les bases coutumières) ayant des fonctions normalement affectées aux départements et communes en métropole et dans les régions d’outre-mer, notamment en matière de justice, d’éducation ou de citoyenneté. De plus, la fonction de région y est transférée à un gouvernement local où sont représentés les autorités coutumières et régaliennes, ainsi qu’un administrateur de la République. Ces collectivités, hors de l’Union européenne, utilisent

le franc pacifique comme monnaie commune (liée à l’euro depuis 1999, au lieu du franc français). Il faut noter que la Nouvelle-Calédonie dispose d’un statut particulier transitoire spécifique avant un futur référendum devant déterminer si le territoire demeurera dans la République française avec une large autonomie, ou deviendra indépendant (avec une éventuelle association).

D’autres terres françaises en outre-mer peu ou pas habitées sont gérées à distance depuis un autre territoire habité, par un administrateur désigné par l’État au nom de la république : les îles Éparses (dans l’océan Indien, dispersées autour de Madagascar, ou près de Mayotte ou Maurice) et les Terres australes et antarctiques françaises (au Sud de l’océan Indien) sont administrées depuis la Réunion, et Clipperton (à l’Est de l’océan Pacifique, au large du Mexique) est gérée depuis la Polynésie française. Ces terres n’ont pas d’administration locale propre

La baleine...


Des jeunes, partis de France, sont devenus 9 mois durant, des marins-reporters autour du monde. Ils ont rencontré l’Autre : de l’accueil dans des familles aux observations naturalistes, de la vie en mer aux reportages créatifs, ils ont vécu des moments authentiques et forts.



22 expéditions ont permis à 280 adolescents d’apprendre que, si le monde est grand et les façons de vivre diverses, les êtres humains ont de profondes préoccupations communes. Et que l’on peut partager avec l’étranger de façon simple et chaleureuse avec quelques mots, des gestes d’entraide, des rires et des complicités…


22 expéditions aussi pour se rencontrer soi-même dans la période de mutation qu’est l’adolescence : vivre en groupe, s’émerveiller ensemble, s’affronter, se compléter…Les jeunes sont maintenant partis vers leur vie d’adulte avec des souvenirs et une expérience qui leur appartient.

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

phrasal verb

phrasal verb คือ verb ที่อาศัยคำหลายคำรวมเป็น phrase แล้วคล้ายกับเป็นคำเดียว

get on = เข้ากันได้
I did not get on with my roommate, she was too messy.

get ahead = ก้าวหน้า
He got ahead by working hard.

get around = ไปไหนมาไหน
I had trouble getting around in Bangkok because the traffic was so bad.

get away with = ทำไปไดยไม่มีความผิด
Don\'t think you can steal money from the company and get away with it.

get away from = ไปให้พ้นจาก
He had to get away from his drunk friends.

get over = หายจากโรค หายจากความเศร้า หายจากความอาย หายจากความแค้น
It took me a long time before I got over my father\'s death.

get by = เพียงพอ
I can get by on 5,000 baht a month. I thought I could get by without studying. (คือคะแนนสูงเพียงพอ)

get along = เข้ากันได้เหมือน

get on เช่น We got along well. แต่ถ้า My aunt is getting along in years. ป้าผมชักจะชรา

get behind = ล้าหลัง
He became ill and got behind in his studies.

get around = อ้อม
I had to get around the obstacle.

get on = ทำต่อไปเช่นเดิม
Please get on with your work, don\'t let me interrupt.

get off = ไปให้พ้น
Get off my back, I\'m doing the best I can. เป็นคำ slang ไม่ค่อยสุภาพ

sort out = solve, manage
- He sorted out the problem.
/ He sorted the problem out.

look after = Take care
- They looked after the bear cub.

came across = meet something or someone by accident/ by chance

see off = say goodbye to someone who was going on a journey

pick up = take someone or something in a care

drop off = let something get out of your car

คำศัพท์เยอะได้อีก

excerpt - ข้อความที่ตัดตอนมา ย่อหน้า
covey - กลุ่ม ฝูง
denote - แสดงถึง
opportunity - โอกาสที่ดี
propriety - ความเหมาะสม
curtain - ผ้าม่าน
lamp - ตะเกียง
verify - ยืนยันความถูกต้อง
vacuum - สุญญากาศ
tremendous - ใหญ่โตมาก
sufficiency - ความพอเพียง
acknowledgment - การยอมรับ
actuate - กระตุ้นให้ทำ
exceed - เกินกว่า มากกว่า
comprehensive - ครอบคลุม
attemp - พยายาม
either - เช่นกัน, อย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวนสอง
intensive - เข้มข้น, ละเอียดถี่ถ้วน
intrude - บุกรุก
precede - อยู่หน้า, นำหน้า, นำ, มีมาก่อน
incorporate - รวมเข้าด้วยกัน
audience - ผู้ชม
fetter - ผูกมัด
unlike - แตกต่างจาก
adequate - เพียงพอ,เหมาะสม, สามารถพอที่จะทำได้
accomplish - ทำสำเร็จ, บรรลุผล
accord - สอดคล้อง
adjacent - ใกล้ชิด, ติดต่อกัน
anticipate - คาด, มุ่งหวัง, ทำนาย
approximate - ประมาณ, ใกล้เคียง
aspect - ลักษณะ, รูปการ, ด้านของปัญหา
attention - การเอาใจใส่,ความสนใจ, การพิจารณา
base on - ยึดถือ
beyond - พ้น ไกลจาก
bother - รบกวน,รบกวนจิตใจ
burden - ภาระ, ทำให้ยุ่งยาก
circumstance - สถานการณ์
collision - การปะทะกัน, ความขัดแย้ง
complementary - ประกอบ, ซึ่งทำให้ครบ
compromise - การประนีประนอม
hence - เพราะฉะนั้น
hire - การเช่า,การว่าจ้าง
implication - สิ่งที่เกี่ยวข้อง
incur - ก่อให้เกิด ทำให้เกิด
inquire - ถามหา,ไต่ถาม,สอบถาม
instance - กรณี, ตัวอย่าง
integrity - ความมั่นคง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
intervene - แทรกแซง ก้าวก่าย
invent - ประดิษฐ์
investigate - สำรวจ, สืบสวน, สอบสวน
issue - สิ่งที่ปล่อยออกมา, สิ่งตีพิมพ์, ชุด, ปัญหา
likely - เป็นไปได้ น่าจะเป็นไปได้
matter - สาระ
conjunction - สันธานเช่น and or, การชุมนุมกัน
convenient - สะดวก
mandatory - เกี่ยวกับคำสั่ง, ข้อบังคับ
measure - วัด, หาค่า, ประมาณ, กะ, ประเมิน
mention - กล่าวถึง, อ้างอิงถึง
notice - ข่าวสาร ข้อความเตือน
concentrate - รวมพลัง, เพ่งสมาธิ
concern - เกี่ยวกับ, กังวลเกี่ยวกับ
convince - ทำให้เชื่อมั่น, ทำให้มั่นใจ
cushion - หมอนพิง
delegate - ตัวแทน, ผู้แทน, แต่งตั้งตัวแทน
derive - ได้มาจาก
distribution - การแจก, การเผยแพร่
due to - เนื่องจาก
enable - ทำให้สามารถ
enforce - ทำให้ปฎิบัติตาม
essential - ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ
foreign - ต่างประเทศ, ต่างชาติ
graceful - สวยงาม
notify - แจ้ง, ประกาศ, บอกให้ทราบ
observe - สังเกต
obvious - ชัดเจน, เข้าใจได้ง่าย
omit - ละเว้น
particular - โดยเฉพาะ, จำเพาะเจาะจง
purpose - วัตถุประสงค์
via - โดยทาง โดยเส้นทาง
worth - มีคุณค่า, ประโยชน์, ราคา
respect - ลักษณะ, ประเด็น, ความเคารพ, สัมพันธ์กับ
tear down - ถอดออกเป็นชิ้น ๆ
accommodate - จัดให้เหมาะ, ทำให้เข้ากับ
discipline - ทำให้มีวินัย
evident - ชัดแจ้ง
prominent - สะดุดตา
effort - ความพยายาม, อุตสาหะ
credential - หนังสือรับรอง, หลักฐานอ้างอิง
awesome - ยอดเยี่ยม, สุดยอด
impact - การอัด, การกระทบ, ผลกระทบn
arrative - เรื่องเล่า, การบรรยาย
rely on - ไว้ใจใน, ขึ้นอยู่กับ
insight - การเข้าใจอย่าถ่องแท้, ความเข้าใจที่ชัดเจน
pending - ซึ่งยังไม่จข, ยังไม่เสร็จสิ้น (ตรงข้าม complete)
sniff - สงสัย, ข้อสงสัย
erratic - ไม่แน่ไม่นอน
yield - ให้ผลผลิต
elegant - สวยงาม
negligible - ซึ่งไม่สำคัญ
consolidate - รวมเป็นหนึ่ง
curry - เครื่องแกง
nifty - เชี่ยวชาญ
solely - โดยลำพัง
bridge - เชื่อม
crucial - สำคัญมาก
mere - เพียงเท่านั้น
respective - ซึ่งเกี่ยวข้องกับแต่ละ~
adhere - ยึดมั่น
precious - ล้ำค่า, อันเป็นที่รัก
favor - ความช่วยเหลือ
with pleasure - ด้วยความยินดี
urgent - เร่งด่วน
agent - ตัวแทน
fasten - ผูก
traveler courier - มัคคุเทศหัวหน้ากลุ่มทัวร์
regard - ความเอาใจใส่, ปรารถนาดี
neglect - ไม่สนใจ, พลาด (เพราะประมาท หรือ เลินเล่อ)
pretend - แกล้งทำว่าเป็นจริง
amateur - สมัครเล่น
guidance - การแนะแนว
pitiful - น่าสงสาร
respect - เอาใจใส่,เคารพ
figure out - คำนวณ, หาคำตอบ....,
right? - ใช่ป่ะ (สำนวน)
pay attention to - เอาใจใส่ต่อ (สำนวน)
dedicate - อุทิศ
why does it have to be me?you are the only one we have.
interfere - ก้าวก่าย
what kind of a person is he?
personality - บุคลิก
fond - สิ่งที่รัก

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ผู้เชี่ยวชาญภูมิอากาศ เตือน9จุดอันตรายโลกร้อน

ลอนดอน - ผู้เชี่ยวชาญภูมิอากาศ เตือน 9 จุดเปราะบางจากภาวะโลกร้อน ชี้อาจไม่สามารถฟื้นคืนภาวะเดิม
คณะผู้เชี่ยวชาญภูมิอากาศได้ระบุพื้นที่ที่เปราะบาง 9 จุดซึ่งอาจไม่สามารถฟื้นคืนให้กลับมามีสภาพดังเดิมได้ หรือสายเกินไปที่จะกอบกู้พื้นที่เหล่านี้ เช่น ทะเลน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ และแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ ซึ่งตกอยู่ในอันตรายเฉพาะหน้ามากที่สุด บางคนประเมินว่าจะไม่มีทะเลน้ำแข็งอีกต่อไป ภายใน 25 ปี

อีกจุดที่เปราะบางมากที่สุดคือป่าฝนอเมซอน ซึ่งปริมาณฝนลดลงมากจนทำท่าคุกคามต้นไม้เป็นวงกว้างและต้นไม้เหล่านี้ก็ไม่สามารถฟื้นคืนได้ด้วยตัวเอง นอกจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ยังแสดงความวิตกเกี่ยวกับป่าบอเรียล และคาดหมายว่าปรากฏการณ์์เอลนีโญที่มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสภาพอากาศตั้งแต่แอฟริกาไปจนถึงอเมริกาเหนือ จะรุนแรงมากขึ้น พร้อมกันนี้นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้จัดทำระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อติดตามระบบนิเวศวิทยาที่เปราะบางเหล่านี้

นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณในการศึกษาล่าสุดว่าทะเลน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ จะลดลงทันทีที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 0.5-2 องศาเซลเซียส และมีโอกาส 50% ที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ จะเริ่มละลายไม่หยุด แม้ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะละลายหมด ซึ่งน้ำจากการละลายของน้ำแข็งนี้จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 7 เมตร


ขณะที่อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 3 องศา จะทำให้ปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรงขึ้น อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 3-5 องศา จะทำให้ฝนในป่าอเมซอนลดลง 30% ทำให้หน้าแล้งยาวนานขึ้น สำหรับป่าบอเรียลนั้น อาจเลยจุดที่ไม่สามารถฟื้นคืนได้แล้ว และจะทำให้หญ้าจำนวนมากแห้งตายในช่วง 50 ปีหน้า


การวัดแผ่นน้ำแข็งทางตะวันตกของขั้วโลกใต้ พบว่าดุลของหิมะที่ตกและการละลาย ได้เปลี่ยนไป และการศึกษาพบว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 องศา อาจทำให้น้ำแข็งละลายอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 5 เมตร ภายใน 300 ปี


คณะผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศกลุ่มนี้ประกอบด้วยองค์กรชั้นนำของโลกไม่ว่าจะเป็นสถาบันพอสต์ดัมว่าด้วยการวิจัยผลกระทบภูมิอากาศในเยอรมนี มหาวิทยาลัยอีสต์แองเลียและสถาบันการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด



แตงโมแช่เย็น คุณค่าทางอาหารลดลง



คณะนักวิจัยที่ห้องวิจัยปฏิบัติการทางการเกษตรในเมืองเลน รัฐโอคลาโฮมา ของกระทรวงเกษตรสหรัฐเผยในวารสารการเกษตรและเคมีอาหารว่า แตงโมเก็บที่อุณหภูมิห้องมีสารอาหารมากกว่าแตงโมแช่เย็นหรือแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้น พวกเขาศึกษาจากแตงโมที่เก็บไว้เป็นเวลา 14 วัน ณ อุณหภูมิที่แตกต่างกัน ได้แก่ 21 องศาเซลเซียส 13 องศาเซลเซียส และ 5 องศาเซลเซียส พบว่าแตงโมที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิ ห้องในอาคารติดเครื่องปรับอากาศมีสารอาหารมากที่สุดนอกจากนี้ยังมีไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนมากกว่าแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้นประมาณร้อยละ 40 และร้อยละ 50 - 139 ตามลำดับ





ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผักผลไม้มีสีแดง คาดว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้บางชนิด ส่วนเบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ งานวิจัยนี้ชี้ว่า แตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้ว กระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น ปกติแล้วแตงโมจะมีอายุในการวางจำหน่ายประมาณ 14 - 21 วัน ณ อุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียสหลังการเก็บเกี่ยว

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอก ท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลก ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือ เดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลา กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใด ๆ ของเรือ หรือ เครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่
เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทาง เป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและ แจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใด ๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบิน มีเวลา พอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติ มายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุน ปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้ง ๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้
มีผู้ให้ความคิดเห็นและคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป บ้างก ็ว่าเนื่องมา จากความปั่นป่วน ของท้องน้ำ ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด จากแผ่นดินไหว ใต้มหาสมุทร หรือเกิดจากอุกาบาตเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น ได้พุงเข้าชนเครื่องบิน และทำให้เกิดระเบิดขึ้นมา รังควานเป็นครั้งเป็นคราว สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ให้คำอธิบาย ที่อาจ เป็นไปได้ว่า เครื่องบินและเรือเหล่านั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปยังอีกมิติหนึ่ง ด้วย การกระทำของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อีก ทฤษฏีหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลว่า เครื่องบินอาจพุ่งดิ่งลงสู่ทะเล เพราะแรงดึงดูด ของ สนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือแรงโน้มถ่วงของโลก ที่เกิดจากฝีมือการกระทำของสิ่งมีชีวิต ที่มีปัญญาสูง เมื่อเครืองบิน นั้นร่อนลงสู่พื้นน้ำนักบินและลูกเรือก็จะถูกจับตัวโดย มนุษย์จากจานบิน (UFO) ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์อีกพวกหนึ่ง ที่ไม่คุ้นเคยกับชาวโลก ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ที่เหลือรอดมีชีวิต สืบต่อกันมาจากสงครามนิวเคลียร์มหาประลัย ที่เกิดขึ้น ในกาลก่อน หรือเป็นมนุษย์จากอวกาศนอกโลก หรือมนุษย์ในอนาคต ที่ต้องการ รวบรวมตัวอย่างการดำรงชีวิตของ ชาวโลก เพื่อการศึกษาค้นคว้า หรือป้องกันภัย ที่จะเกิด จากอาวุธนิวเคลียร์ ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีอยู่หลายกรณีเกี่ยวกับการสืบสวนความลึกลับของเรื่องนี้ ที่เจ้าหน้าที่มุ่งตรงใน ประเด็นซึ่งเกี่ยวกับท้องทะเล โดยเฉพาะเพราะแม้ว่า เราจะอยู่ในสมัยที่กำลังก้าวเข้าสู่ อวกาศก็ตาม แต่ความลึกลับของท้องทะเล ยังคงเป็นสิ่งมืดมน สำหรับพวกชาวโลกอยู่ ก่อน อื่นเราจะต้องรับความจริงที่ว่า 3 ใน 5 ส่วนของพื้นใต้มหาสมุทร เรายังรู้จักกันน้อยกว่า ปล่องภูเขาไฟในดวงจันทร์ หรือพื้นราบบนดาวอังคารเสียอีก เรามีแต่แผนที่ทางทะเล ที่เขียนขึ้นอย่างหยาบ ๆ จากการ สำรวจโดยใช้เสียงสะท้อนของโซน่า ใช้เครื่องดำน้ำลึก หรือเรือดำน้ำที่มีเขตจำกัดสำรวจได้เฉพาะพื้นน้ำที่ไม่ลึกนัก เท่านั้น และความประสงค์ ส่วนใหญ่ จะมุ่งเฉพาะการค้นหาแหล่งน้ำมัน และทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นเอง เรายัง ไม่อาจจะทราบได้ว่า ในส่วนก้นบึ้งที่ลึกที่สุด มีอะไรที่จะสร้างความประหลาดใจ อย่างใหญ่หลวงให้แก่พวกเราบ้าง พื้นทะเลลึกและหุบเหวใต้ท้องทะเล อาจจะเป็นที่อาศัย ของสิ่งมีชีวิตที่มีมันสมองและฉลาดเกินกว่าเราจะคาดคิด ก็เป็นได้
ความลึกลับมหัศจรรย์ ใต้ท้องทะเล หาได้หยุดยั้งเพียงเท่าที่กล่าวมาแล้วไม่ นิยายปรัมปรา เล่าลือสืบต่อเนื่องกันมา เกี่ยวกับพิภพ และสัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเล โดย ไม่มีวันจบสิ้น และยิ่งการค้นพบหลักฐานซากเมืองโบราณ ใต้พื้นน้ำ ลึกเป็นพัน ๆ ฟุต ในหลายส่วนของพื้นมหาสมุทรทั่วโลก ยิ่งทำให้เรื่องพิลึกกึกกือได้รับความสนใจจาก ความอยากรู้ อยากเห็นของชาวโลกยิ่งขึ้น เราเคยทราบวัฒนธรรม และความรุ่งโรจน์ ของ ชาวเมืองแอตแลนติส โบราณจากบันทึกของ มหาปราชญ์เพลโตเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันนักโบราณคดีและนักภูมิศาสตร์ ต่างเชื่อมั่นว่าอาณาจักรแอตแลนติก อันเคยรุ่งเรือง ด้วยอารยธรรมมาก่อนนั้นมีจริง ขณะนี้เมืองทั้งเมืองได้จมหายอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร แอตแลนติคที่ใดที่หนึ่ง
อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่โคลัมบัสเมื่อห้าร้อยปีก่อน คือส่วนหนึ่งของ กระแสน้ำอุ่น กัลฟ์ตรีม ที่เรียกกันว่าสายน้ำขาว พื้นน้ำบริเวณนี้จะมองเห็นสุกใส ด้วย แสงเรืองเป็นทางยาว ระยะทางเป็นไมล์ ๆ ใกล้ ๆ กับ บาฮามัส ซึ่งในปัจจุบันแสงเรือง บนพื้นน้ำเหล่านี้ก็ยังคงปรากฏอยู่การตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ว่าเกิดการเรืองแสงของจุลินทรีย์ในน้ำที่ถูกฝูงปลารบกวนหรือเป็นแสงเรืองที่เกิดจาก กัมมันตภาพรังสี หรืออาจเป็น การเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาใต้ท้องทะเลกันแน่ และยิ่งกว่านั้น มีเหตุผลพอจะทำให้เชื่อได้ว่า พื้นที่ใต้มหาสมุทรแถวนั้นอาจเป็นที่ตั้งฐาน ใต้น้ำ ของชาวนอกโลก ที่มาศึกษาชีวิตความเป็นไปในโลกของเราก็ได้ และแสงเรือง ที่เกิดขึ้น อาจเป็นสัญญาณให้ยานอวกาศของพวกเขาทราบตำแหน่งที่ตั้งและมองเห็นได้ ชัดเจน ก่อนที่ยานอวกาศจะเข้าสู่บรรยากาศโลก เหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ท่านอย่าเพิ่ง เชื่อปักใจ ไปกับอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะตราบใดที่เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัด ปรากฏการณ์ประหลากชองสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังเป็นเรื่องลึกลับ ที่มืดมนสำหรับเราอยู่

เด็กไม่เอาถ่าน คำนี้มีที่มาจากอะไร?


เด็กไม่เอาถ่าน คำนี้มีที่มาจากอะไร?

เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ เด็กไม่เอาถ่าน

ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะ ในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"

น้ำแข็งทางแถบเดียวของอาร์กติกละลาย ดันน้ำทะเลล้นสูง5ม.


น้ำแข็งทางแถบเดียวของอาร์กติกละลาย ดันน้ำทะเลล้นสูง5ม.

นักวิจัยฯ ออสซี่ ระบุ สาเหตุหลักมาจากแผ่นน้ำแข็งบริเวณนั้น ตามริมฝั่งของกรีนแลนด์ ทางแอนตาร์กติกาตะวันตกจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล จากภาวะที่มหาสมุทรอุ่นขึ้น...ศูนย์วิจัยแอนตาร์กติก มหาวิทยาลัยวิกตอเรียของออสเตรเลีย กล่าวเตือนว่า หากว่าแผ่นน้ำแข็งทางบริเวณแถบตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกาซึ่งเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุด พากันละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกล้นสูงขึ้นอีก 5 เมตร รองผู้อำนวยการศูนย์ นายทิม นาอิช กล่าวว่า "แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกได้โตหนาขึ้น และได้ทะลายลงตลอดช่วงเวลา 5 ล้านปีที่แล้ว ไม่ต่ำกว่า 40 ครั้ง ทำให้ระดับน้ำทะเลแปรปรวนอย่างหนัก"จากหลักฐานแสดงว่า แผ่นน้ำแข็งบริเวณนั้น ตามริมฝั่งของกรีนแลนด์ ทางแอนตาร์กติกาตะวันตกจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ดังนั้น เมื่อมหาสมุทรอุ่นขึ้น ก็จะทำให้แผ่นน้ำแข็งอุ่นขึ้นด้วย" และบอกเสริมว่า "วิธีที่จะเข้าใจเรื่องนี้วิธีหนึ่ง ก็คือศึกษาสถิติของอากาศเมื่อสมัยยุคหิน ย้อนไปถึงยุคที่โลกยังอุ่นอยู่ เพื่อจะรู้ได้ว่าบริเวณแอนตาร์กติกาตะวันตกเป็นอย่างไร""เรารู้มาว่าก๊าซที่ทำให้โลกร้อนในบรรยากาศ มีปริมาณสูงกว่าในปัจจุบันอยู่เล็กน้อย และโลกก็ร้อนกว่า 2 หรือ 3 องศา เมื่อแผ่นน้ำแข็งของแอนตาร์กติกาตะวันตกทลายลงหลายหน ระดับน้ำทะเลได้สูงขึ้นอีกถึง 10 เมตร"เขาบอกสรุปว่า "ในอดีตความเปลี่ยนแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศเกิดเป็นไปเองตามธรรมชาติ แต่สมัยนี้เรากลับไปผลักดันมันขึ้น ก๊าซที่ทำให้โลกร้อนถูกสะสมอยู่มากขึ้นและอุณหภูมิก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าแต่ก่อน".